Tuesday, October 31, 2006

ตอนที่ 2

ผมเดินเข้าไปหายูโกะที่กำลังเช็ดหน้าอยู่แล้วแนะนำตัวเองเป็นภาษาญี่ปุ่น
"เอ่อ วาตาชิว่า...เจด เดส ครับ"
"พูดภาษาไทยได้ค่ะ" ยูโกะตอบกลับมาที่ผมแล้วยิ้มพร้อมกับโค้งให้นิดหน่อยตามลักษณะคนญี่ปุ่น
ผมสะดุ้งแล้วถามต่อ
"อ้าว พูดไทยได้เหรอครับดีจังชื่ออะไรครับ"
"ชื่อยูโกะค่ะ" เธอบอกผมแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรผมอีก
หลังจากนั้นผมเริ่มรู้สึกตัวว่าผู้หญิงคนนี้ "ยาก"หมายถึงสนิทด้วยยากนะครับ
เพราะว่าวันนั้นผมคุยกับเธอเพียงแค่นั้นตริงๆ ยูโกะไม่ได้สนใจอะไรผมอีกเลย ผู้หญิงคนนี้หยิ่งมากกกกกกกกกก
อย่างไรก็ตามคติของผมคือ ต้องพยายามและดักลอบต้องหมั่นกู้เจ้าชู้ต้องหมั่นเกี้ยว
ผมพยายามไปที่ชุมนุมทุกวัน แน่นอนผมไม่ได้ตั้งใจไปเล่นกีฬาหรอกผมตั้งใจไปหายูโกะมากกว่า
แต่เธอก็ไม่ค่อยสนใจผมเหมือนเดิม วันนึงๆยูโกะคุยกับผใอย่างมากก็แค่ 2-3 คำเอง
สิ่งที่ผมทำได้ก็คือดูเธอซ้อมมวยแล้วก็ข้นไปเล่นด้วยบ้างก็เท่านั้น
................
...............
แล้วโอกาสก็มาจนได้วันที่ผมได้กินข้าวมื้อแรกกับเธอ
วันอากาศเริ่มหนาว ท้องฟ้ามืดเร็วผิดกวาปกติ เธอซ้อมมวยเสร็จแล้วนั่งอยู่หน้าห้องเพาะกาย
ผมเดินเข้าไปยิ้มและพูดกับยูโกะ
"เอ่อ ยูโกะครับพรุ่งนี้เย็นไปเที่ยวพัทยากันไหมครับ เราจะไปกับเพื่อนๆexchange student ก็ไปนะ ตูนกับเสตฟไง"
ยูโกะทำหน้ายิ้มและมีสีหน้าบอกให้รู้ว่าตัดสินใจลำบาก
"อื้ม.....ไม่รู้นะ...อยากไปน้า แต่......คิดยากน้า"
"เออ งั้นไม่เป็นไรไปกินข้าวกันมั๊ย"
"ไปค่ะ"
ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองเกือบคิดว่าฝันไป ความจริงอยากจะตบหน้าตัวเองว่าเจ็บหรือเปล่าแต่ไม่กล้าทำต่อหน้าเธอเดี๋ยวเค้าจะหาว่าผมบ้า
"จริงเหรอรอแป๊บนะเดี๋ยวเราไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน"ว่าแล้วผมก็รีบวิ่งไปเปลี่ยนชุดจากชุดกีฬาเป็นชุดทำงานทันที
คืนวันนั้นผมพายูโกะเดินออกไปทางท่าพระอาทิตย์ เดินเล่นทางเรียบริมแม่น้ำแสงไฟ แสงดาวดูสวยเป็นพิเศษสำหรับคืนนี้
"กินอะไรดีครับ"
"อะไรก็ได้ค่ะ"
ผมถามกลับด้วยความกวนตีนของผม
"เรอะ งั้นกินส้มตำดีไหม"
ยูโกะได้ยินแล้วทำตาโต ดีใจ
"จริงเหรอ!!ยูโกะชอบส้มตำค่ะ"
คำตอบของเธอทำให้ผมนิ่งไปประมาณ 5 วินาทีโธ่อาหารมื้อแรกทำไมเป็นส้มตำวะ?
"จ๊ะ ดีจ๊ะกินส้มตำก็ได้"

Friday, October 27, 2006

วันแรกที่เวทีมวย

ตูม!!!เปรี้ยง!!! ตุบตับๆๆ
เสียงของชมรมมวยและชมรมเพาะกายของธรรมศาสตร์ดังอยู่อย่างนี้เสมอๆทุกเย็นหลังเลิกเรียน ผมมักจะไปที่นั่นบ่อยๆเป็นประจำ เนื่องจากเคยเป็นประธานเพาะกายมาก่อน แม้ว่าตอนี้จะเรียนจบแล้วตาม
"อ้าว เจด ไปไหนมาวะนั้งก่อนๆ วันจะเอากี่ยกล่ะ"
ครูยุทธทักผมอย่างเป็นปกติทุกครั้งที่เจอผม พูดพลาดส่งบุหรี่วันเดอร์ยี่ห้อโปรดของแกให้
ผมรับมาบุหรี่มาแล้วจุดดูดพ่นควันให้เป็นรูปมังกร
"ไม่ได้ไปไหนหรอกครู มาอ่านหนังสือแล้วแวะมายืดเส้นหน่อย"
ครูยุทธหัวเราะหึหึแล้วว่า
เออ เออ ยืดเส้นเห็นมาทีไรก็นั่งคุยทุกที ไว้เจดค่อยเล่นตอนมืดๆก็ได้ ตอนนี้คนมันเยอะพวกนักเรียนแลกเปลี่ยนมันมาจากไหนไม่รู้ ฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน แขก เกาหลี ฮ่องกง เต็มเวทีเลย"
ผมมองตามสายครูที่มองไปบนเวที อืมคนมันเยอะจริงๆแฮะสงสัยต้องรอตอนมืด
ผมมองดูไปพลางสูบบุหรี่พลาง แล้วผมก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงร้อง
ย้ากกกกก!!!ตามมาด้วยเสียงของแข้งฟาดเข้ากับเป้า ตูม!!!
แล้วก็ตามมาอีกหลายชุด ย้ากๆๆๆๆๆตูมๆๆๆๆๆๆเปรี้ยงๆๆๆๆ
ผมกลืนน้ำลายไป10ครั้งแล้วหันไปถามครู
"ครูนั่นใครอ่ะผู้หญิงคนนั้น? ญี่ปุ่นใช่ป่ะ? เตะหนักชิบเป๋งเลย ถ้าผมโดนเตะนี่คงแย่นะ หน้าสวยๆอย่างนี้ก็มาเรียนมวยด้วยแฮะ
วันก่อนยังเห็นที่โรงอาหารอยู่เลยนึกว่าจะทำสวยๆอย่างเดียวซะอีก"
ครูยุทธยักคิ้วให้ผมก่อนจะตอบ
"ชื่อยูโกะน่ะมาจากญี่ปุ่นพึงมาเองนะ ทำไมชอบเหรอ"ครูถามพลางยิ้มๆ
ผมหันไปมองเธอครั้งหนึ่งแล้วหันมาตอบครูยุทธ
"ชอบมาตั้งนานแล้วว่ะครู ผมเคยเห็นที่โรงอาหารมาก่อนแล้วน่ารักเป็นบ้า สวยจะตายผมว่านะเอานางสาวไทย ทุกปีมารวมกันยังไม่ได้เท่าเธอเลย"
ครูยุทธหัวเราะก๊าก
"โห เพ้อเจ้อจริงๆ คิดอย่างนั้นเลยเรอะ ดีใจล่ะสิ นั่นๆเขาจะลงมาแล้วไปหาเขาดิ"
ผมว่า "ไม่ต้องบอกผมก็ไปหาอยู่แล้ว"
จากนั้นผมก็เดินไปหาเธอขณะที่เธอกำลังแกะผ้าพันมือ แล้วก็เช็ดหน้า
ผมสูดหายใจเข้าไปเต็มแรงพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นเกนเหตุ อีกไม่กี่วินาทีแล้วสินะ ที่ผมจะได้รู้จักกับเธอ
ยูโกะ.....

Wednesday, May 24, 2006

เรื่องเดียวที่ให้ไม่ได้

To whom it may concern this is what's on my mind

มีอะไรที่ตัวฉันทำได้ เคยบ้างไหมไม่ทำเพื่อเธอ

ถ้าสิ่งใดเป็นความต้องการของเธอ
จะทำเสมอไม่ว่ายากเย็นแค่ไหน
แต่ที่เธอขอให้ฉันหลีกทาง
เพื่อให้เขาได้ก้าวเข้ามา
ตอนที่เธอพูดมาคิดถึงใจฉันบ้างไหม
ที่เธอขอฉันที่เธอต้องการมากไปหรือเปล่า
อยากไปกับเขาเธอขอฉันมากไปไหม
ส่งคนที่รักให้คนอื่นไปฉันทำไม่ไหว
แค่เพียงเรื่องเดียวฉันขอเธอบ้างได้ไหม
เรื่องเดียวที่ให้ไม่ได้
ดาวและเดือนถ้าเด็ดให้เธอได้
ฉันก็พร้อมจะทำให้เธอ
ที่ผ่านมาที่ทำที่ให้เธอมันน้อยไปหรือ
มันยังไม่พออีกหรือ
แต่ที่เธอขอให้ฉันหลีกทาง
เพื่อให้เขาได้ก้าวเข้ามา
ตอนที่เธอพูดมาคิดถึงใจฉันบ้างไหม
ที่เธอขอฉันที่เธอต้องการมากไปหรือเปล่า
อยากไปกับเขาเธอขอฉันมากไปไหม
ส่งคนที่รักให้คนอื่นไปฉันทำไม่ไหว
แค่เพียงเรื่องเดียวฉันขอเธอบ้างได้ไหม
เรื่องเดียวที่ให้ไม่ได้
...........................................................

กำลังแย่ เหงาและกลุ้มใจเครียดโว้ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

Wednesday, April 26, 2006

สวัสดีปี๋ใหม่เมือง

ไม่ได้เขียนมาตั้งนานเลยนะครับจนเพื่อนๆพี่ต่างพากันรุมสวดผมกันยับเยิน แต่เอาน่าๆผมมาเขียนแล้วนะ
สงกรานต์ที่ผ่านมาผมไปเที่ยวเชียงใหม่มาครับ เดินทางไปด้วยรถไฟจากหัวลำโพงกับยูโกะ สนนราคาแพงมาก(สำหรับผม)คนละ 900 บาทถ้วนเที่ยวเดียว
แล้วก็ไม่ใช่รถนอนนะครับ นั่งตลอดครับ 15 ชั่วโมง คิดเอาละกันตูดงี๊เมื่อยอย่าบอกใครเชียวล่ะ
พอไปถึงเชียงใหม่เราก็ไปพักกันที่ guest house ใกล้ประตูท่าแพรครับชื่อ libra แค่คืนละ 350 บาทเอง ห้องแอร์เย็นฉ่ำ มีนำอุ่นด้วยนะ แถมคุณป้าเจ้าของก็ใจดี
ความจริงพอพูดถึงเรื่องนี้แล้วเนี่ยผมมีเรื่องนึงไม่ค่อยเข้าใจว่ะ คือผมไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้ guesthoues บางที่ถึงไม่ยอมรับให้คนไทยเข้าพักนะ เราก็คนไทยด้วยกัน แทนที่จะให้คนไทยเจ้าของประเทศได้พักในราคาถูกๆ เช่นค่าห้องคืนละ 200-300 กลับเสือกใสให้ไปโน่น พักโรงแรมแพงๆหน่อยคืนละ1000 ขึ้น นั่งรถทัวร์ราคา 600 บาท แต่รู้ไหมครับถ้าเป็นคนต่างชาติมันนั่งแค่ 250-300 บาท ผมเองก็ไม่เข้าใจหรอก มันอาจจะเป็นวิธีส่งเสริมการท่องเที่ยวหรือพัฒนาเศรษฐกิจห่าเหวอะไรก็ช่างแม่ง แต่ผมว่ากำลังทรัพย์เนี่ยยังไงๆ เราก็แพ้คนต่างชาติ เงินเราก็น้อย(แต่กูอยากเที่ยวในประเทศกูอ่ะ)เสือกต้องไปเจอค่าครองชีพในยามท่องเที่ยวที่แพงมหาโหด แต่กับพวกต่างชาติทำไมค่าทุกอย่างมันถูกกว่าเราวะ ค่ารถ ค่าเรือ ค่าที่พัก ค่าจัดนำเที่ยวแบบเดินป่าสวยๆที่คนไทยไปไม่ได้ หรือถ้าอยากไปก็เตรียมงบให้เยอะๆหน่อย ห่าแม่งเป็นพ่อเราหรือไง
กลับมาเรื่องสงกรานต์ดีกว่านะครับ ที่เชียงใหม่เขาจะเล่นน้ำกันเฉพาะในตอนกลางวันเท่านั้น ประมาณ 9 โมงก็เล่นกันแล้ว จุดที่เล่นน้ำก็เล่นกันตามคูเมืองนั้นแหละครับ น้ำที่ใช้เล่นก็น้ำในคูน่ะแหละประตูท่าแพรนี่จะเด็ดที่สุด ทั้งปริมาณคน ความสนุก ความสวยของสาวๆ แล้วที่นี่เล่นน้ำกันผมสังเกตุดูจะเล่นกันค่อนข้างสุภาพนะ คือตักน้ำรดกันบ้าง หรือสาดกันบ้าง หาพวกที่เตะปากกัน หรือสาดกระสุนแทนน้ำไม่ค่อยมี ต่างจากมหานครแห่งความสุข ที่พวกตัวโกงบ้ากามเกลื่อนเมืองคอยแต่จับนมผู้หญิง ไม่ก็พวกกระเทยคอยจับคะวะยะคุงของผู้ชาย ไม่ก็สาดกระสุน แจกมีด ให้ไม้กันเป็นของขวัญ ไม่เชื่อผมหรือ? ปีหน้าลองไปดูที่ข้าวสารสิครับ
อย่างไรก็ตามมาเที่ยวครั้งนี้ผมก็ไม่ได้สัมผัสกับเชียงใหม่เท่าใดนัก ไปแค่ดอยสุเทพเอง แล้วก็กินนอนเล่นน้ำ และเล่นน้ำ... แต่ก็มีความสุขมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเพราะว่าได้ไปกับคนที่ทำให้เรามีความสุข
รักเธอนะแล้วก็สวัสดีปีใหม่ครับทุกคน

Thursday, March 23, 2006

ไม่ค่อยว่างครับ

ตอนนี้ไม่ค่อยว่างกำลังมีความรัก
อดใจรอหน่อยแล้วจะมาเล่าให้ฟัง พร้อมกับงานแบบโลกา

Tuesday, January 31, 2006

แด่ยูโกะจัง



ไม่เคยเป็นเช่นนี้ชีวีข้า
ต้องมนต์ตรารักซึ้งฉ่ำตรึงหวาน
ใบหน้าเธอดุจมาลีที่แย้มบาน
ฉุดวิญญาณฉกหัวใจข้าไปครอง....

Friday, January 27, 2006

ไกย่างถูกเผา

(ไปลอกมาจากไหนไม่รู้ว่ะ ชอบๆ)
ไก่ย่างถูกเผา….ไก่ย่างถูกเผาเสียบก้นซ้าย …อ่ะ…เสียบก้นขวาร้อน…จริงๆ……ร้อน..จริงๆ..ร้อนจริงๆ……..….

“ ถ้าเรื่องแค่นี้ ยังทำไม่ได้ “ว้ากเกอร์รุ่นพี่คนนั้น ยังคงคำรามต่อไป หลังจากที่ได้พล่ามจนน้ำลายแตกเป็นฟองฟ่อด จับเป็นกลุ่มขาวที่มุมปาก
“ มึงก็ไปตายซะเหอะ”………………

แมน ไม่เคยคิดเลยว่า นอกจากการสอบเอนทรานส์ที่ค่อนข้างลำบากยากเย็นผ่านไปแล้ววันแรกที่เข้ามาสู่รั้วมหาวิทยาลัย ที่แมนเคยใฝ่ฝัน จะพาเขาไปสู่ความกระอักกระอ่วนใจอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิตวันสุดท้ายของการสอบเอนทรานส์ แมนและเพื่อนๆที่เรียนมัธยมมาด้วย จับกลุ่มคุยถึงการสอบที่ผ่านไปจนค่ำมืด
หนูหิ่น สาวเก่งประจำกลุ่มผู้มีความหวังค่อนข้างมากกับการสอบเข้าเรียนในภาควิชาเภสัชศาสตร์ พูดถึงการได้ย้ายออกจากบ้านเพื่อเข้าอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย ดูเธอไม่มีความกังวลใจใดๆกับการที่ต้องพลัดที่นา คาที่อยู่ ต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อม และการที่ต้องพบกับเพื่อนใหม่ๆ
สิทธิ์ หนุ่มน้อยหน้าสิวผู้เงียบขรึม หากแต่เป็นขวัญใจของเพื่อนๆเสมอ ค่าที่ สิทธิ์ มักจะมีอะไรๆแปลกๆมาฝากเพื่อนเป็นประจำ ไม่ว่าบทความแปลกๆ การอ่านใจของคนจากค่านิยมในการแต่งตัว หรืออาหารการกินสิทธิ์ ตั้งใจจะเป็นสถาปนิก เขาเลือกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ
ฟ้าใส สาวน้อยสดใสวัยร่าเริง ผู้ไม่เคยมีความทุกข์เธอไม่ค่อยแน่ใจนักกับการเลือกเรียนในคณะนิเทศศาสตร์แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังเลือกเอาคณะนี้เป็นที่หมาย ไล่เรียงลำดับลงมาตั้งแต่ จุฬา ธรรมศาสตร์ ศิลปากรเธอดูไม่เป็นกังวลนักสำหรับผลการสอบที่เธอไม่หวังคุณพ่อคุณแม่ผู้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจมีเงินทองมากมายเพียงพอที่จะส่งให้เธอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนที่ใดก็ได้ ทั้งในและนอกประเทศ
ปอนด์ สาวประเภทสองผู้มีความมั่นใจในตัวเองสุดๆกำหนดแนวทางของเธอชัดเจนด้วยการไม่สอบเอนทรานส์เข้ามหาวิทยาลัยเธอเลือกที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยราชภัฎใกล้บ้าน เพื่อแลกกับการได้ดูแลธุรกิจขายผลไม้ในตลาดโต้รุ่งอันเป็นธุรกิจของครอบครัวอีกอย่าง หนุ่มตุ้งติ้งอย่างเธอ คงพบกับปัญหาในการปรับตัวมากมายหากต้องไปอยู่ไกลบ้านและต้องอยู่ร่วมกับเพื่อนใหม่ๆ
ก้อย สาวสวย นักคิดผู้เคร่งขรึมเธอเรียนเก่งมาตลอด สอบได้ที่อันดับต้นๆ พูดน้อยแต่ทุกครั้งที่เธอพูด เพื่อนๆต้องหยุดคุยและหันไปฟังเธอพูดเสมอ เพราะสิ่งที่เธอพูดมักจะมีสาระและเรื่องที่ต้องคิด เธอมักจะถูกอุปโลกให้เป็นผู้พิพากษาตัดสินคดียามเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในระหว่างเพื่อนๆหรือแม้แต่ข้อขัดแย้งที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ความคิดเห็นของหมูก้อยจะเป็นความคิดเห็นสุดท้ายที่เพื่อนๆมักถือเอาเป็นข้อสรุปไม่มีใครในกลุ่มล่วงรู้ได้ว่า เธอเลือกคณะและมหาวิทยาลัยไหน
ในการสอบเอนทรานส์ครั้งนี้ทุกคนนั่งคุยกันที่ม้าหินใต่ต้นไม้ใหญ่ที่หน้าโรงเรียนอันเป็นสถานที่สอบเอนทรานส์ผลัดกันเล่าถึงจินตนาการของการได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มุ่งหวังดูทุกคนจะมีความสุข และมีความหวังค่อนข้างมากชีวิตวัยรุ่นอย่างพวกเขา จะมีอะไรน่ากังวลไปกว่า พรุ่งนี้ จะไปทานอะไรกันดีหนังเรื่องใหม่ เข้าฉายเมื่อไหร่ หรือ จะหาแผ่นเพลงที่อยากได้ที่ไหนดีตะวันสิ้นแสงลำสุดท้ายลงแล้ว
ใกล้เวลาที่ทุกคนต้องแยกย้ายกันกลับบ้านแมนเป็นคนแรกที่ขอตัว พาเรือนร่างตุ้ยนุ้ยที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ สตาร์ทรถวิ่งออกไปอย่างเหงาๆ…
“ ไอ้แมนมันเป็นรัยของมันอ่ะ หน้าตายังคนไปกินอึมา” ปอนด์ ตั้งข้อสังเกตขึ้นมาลอยๆ กับเพื่อนที่เหลือ
“มันกลัวอ่ะดิ มีคนบอกมันว่า มหาลัยที่มันเลือกอ่ะ รับน้องกันดุ”สิทธิ์ เฉลย
“เออ นั่นดิ ชั้นว่าแล้ว พอถามว่ามันเป็นรัย มันบอกว่า มันกำลังหาทางลาอาทิตย์แรกตอนเปิดเทอมนี่เพิ่งรู้นะ ว่ามันกลัวพิธีรับน้อง” หนูหิ่นเสริม
“ อ้าว นึกว่ามันเศร้า เรื่องที่ยัยนัดนิดทิ้งมันไปมีแฟนใหม่”ฟ้าใสแสดงความกังขา
“ไม่หรอก มันลืมเรื่องนั้นไปนานแล้ว ตั้งแต่มันหันไปจีบยัยนกมันเครียดเรื่องรับน้องที่มหาลัยน่ะ”ปอนด์ย้ำ
“พวกแกก็อย่าไปเขย่าขวัญมันก็แล้วกัน ปลอบใจมันหน่อย”หมูก้อย สำทับมาเป็นเสียงสุดท้ายทุกคนพยักหน้าเออ ออ แล้วจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน…….…….
แมน ยังนอนไม่หลับ แม้จะเป็นเวลาตีสองของวันใหม่แล้วปกติ หลังทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว แมนใช้เวลาไม่มาก จากมื้อเย็นไปสู่นิทรารมย์แต่ในหลายๆวันมานี้ เขานอนหลับได้ยากเย็นเหลือเกินความคิดของเขายังสับสน ระหว่าง ความกล้าที่จะเผชิญหน้า กับความกลัว ที่ชวนให้เขาหาทางหลบหลีกจากปากคำของเพื่อนๆและคำร่ำลือที่ได้ยินมามหาวิทยาลัยที่เขาสอบเข้าได้นั่น ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของระบบอาวุโส หรือโซตัสที่นั่น การรับน้องมักจะมีเรื่องรุนแรงเกิดขึ้นบ่อยๆแทบทุกปีมีการรับน้องใหม่ด้วยวิธีประหลาดๆ จนกลายเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ให้เห็นเป็นประจำจากรุ่นสู่รุ่นปีที่พวกพี่ๆเคยเป็นน้องใหม่ เคยโดนมาอย่างไรรุ่นพี่จะจดจำและนำไปลอกเลียนใช้กับการรับน้องใหม่ในปีถัดมาดูจากข่าว ฟังจากคำร่ำลือ แมนก็แทบหมดกำลังใจที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นเสียแล้ว
“ชั้นจะผ่านมันไปได้ยังไง ๆ”คำถามเดิมๆ ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวของแมนจนเขาผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย…….……………….
เสียงกลองที่ดังกระหึ่ม ผสมผสานไปกับเสียงโหวกเหวกที่ดังมาจากทุกซุ้มทำให้บริเวณสนามหญ้าหน้ามหาวิทยาลัย เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย
“น้องๆประมง ทุกคน ให้มาพร้อมกันที่ซุ้มห้า เดี๋ยวนี้ “
“เฟรชชี่ วนศาสตร์ รับข้าวห่อด้วย”
“ วี๊ดดดดดดดดดดดดด บู๊มมมม “ฯลฯ..ฯลฯ..ฯลฯ
เสียงอึงอลที่ดังอยู่รอบๆ ทำให้แมนยิ่งรู้สึกตื่นเต้นจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้วันนี้ เป็นวันที่เขาต้องเดินเข้ามาในมหาวิทยาลัยคนเดียว โดยไม่มีแม่ หรือพี่สาวเดินจูงมือแมน เติบโตขึ้นมาพร้อมๆกับการเป็นลูกคนเล็กและน้องชายคนเดียวของแม่และพี่สาวพ่อของแมน จากไปนานแล้ว ตั้งแต่แมนยังจำความไม่ได้
นั่นอาจเป็นเหตุผลที่แม่ ทุ่มเทความรักให้เขาสุดจิตสุดใจพี่สาวที่มีอายุห่างจากเขาหลายปี เฝ้าดูแลเขา ราวกับไข่ในหินในชีวิตของแมน ไม่เคยพบกับความยากลำบากอะไรเลยตื่นเช้าเพราะมีคนปลุก อาบน้ำแต่งตัว มีแม่คอยช่วยทานอาหารที่วางรออยู่บนโต๊ะ และไปโรงเรียนโดยมีพี่สาวไปส่งทุกวันเย็นเมื่อเลิกเรียน พี่สาวจะเป็นคนไปรอรับที่หน้าโรงเรียนและพาเขากลับบ้าน เพื่อมาพบกับขนมหรือของว่างที่วางรออยู่ทานขนมเสร็จ เขาก็ออกไปเล่นกับเพื่อนๆใกล้ๆบ้าน จนถึงเวลาที่ต้องทำการบ้าน ทานอาหารและเข้านอนโลกนี้ของเขา ช่างน่าอยู่จริงๆ
แม่และพี่สาวดูแลเขา ราวกับเขามีอายุหยุดอยู่แค่เพียงห้าขวบคอยดูแล จัดหา และตระเตรียมทุกอย่างให้เขาแมนคิดไม่ออกว่า ปราศจากแม่และพี่สาวแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
“ ไอ้อ้วน ยืนเหม่ออยู่หาอะไร รีบมุดๆเข้า คนหลังเขารออยู่”รุ่นพี่ที่ยืนคุมอยู่หน้าซุ้ม ตวาดเสียงดังลั่นเป็นครั้งที่สองเขาไม่รู้จริงๆ ว่ารุ่นพี่คนนั้น พูดกับเขา
เขาไม่คุ้นกับการถูกเรียกว่า”ไอ้อ้วน”หน้าตาของเขาเลอะเทอะไปด้วยการแต่งแต้ม ด้วยสีสัน อายแชโดว์และลิปติกมันไม่ได้ทำให้เขาดูสวยงามเลย นอกจากการปัดป้ายเพื่อให้เขาดูน่าขันจุกและแกะที่ถูกผูกอยู่รอบหัวโดยไม่ปราณีราศรัยว่าเส้นผมของเขาถูกดึงจนเจ็บน้ำตาแทบไหลโบว์และริบบิ้นต่างสี ผูกไว้กับจุก ยิ่งทำให้หน้าเลอะๆของเขา ดูน่าสมเพชมากขึ้นไปอีก
ไอ้ซุ้มอุบาทว์นี่ ช่างถูกออกแบบมาให้คลานได้ลำบากยากเย็นเหลือเกิน สำหรับคนที่มีน้ำหนักค่อนข้างมากอย่างเขา การลงคลานสี่ขาในระยะทางขนาดนี้มันทำให้เขาเหนื่อยมากๆหัวที่เจ็บระบมไปหมดจากการถูกผูกผมกับใบหน้าที่คันยิบๆตลอดเวลาจากเครื่องสำอางค์ราคาถูกๆและสีสาระพัดชนิด ทำให้เขาต้องแค้นใจจนน้ำตาร่วงออกมาอย่างสิ้นอาย
“ อ้าว ร้องไห้ ซะแล้ว ไอ้อ้วน “ รุ่นพี่คนหนึ่ง สำราก
“ขี้แยอย่างนี้ แอ๊กกี้ไม่มีโว้ย”
“ถ้าสู้ไม่ไหว ก็กลับบ้านไปกินนมแม่ซะ”
แม่…..เขาคิดถึงแม่จับใจ ในนาทีนั้นนี่ ถ้ามีแม่อยู่ด้วย แม่คงไม่ปล่อยให้พวกนี้รังแกเขาอย่างนี้ถ้าแม่เห็นว่า เขาถูกพวกนี้ โขกสับยังไง แม่คงไม่ยืนดูอยู่เฉยแน่ๆแม่ ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องเขาแน่ๆ
“ ไอ้อ้วน ออกมานี่” คราวนี้ทุกคน หันมามองเขาเป็นตาเดียวกันแมน ค่อยๆ กระย่องกระแย่งลุกขึ้น แล้วเดินออกไปหน้าแถว
“ จะมาเป็นพวกเรา ต้องอดทน ต้องแข็งแกร่ง ต้องสู้”
“สู้ …ไม่สู้” …….” สู้! “
“สู้ …ไม่สู้” …….” สู้! “
“สู้ …ไม่สู้” …….” สู้! “
รุ่นพี่คนนั้นยังคงตะโกนปลุกใจน้องใหม่ทั้งหลายต่อไป โดยมีเสียงขานรับหนักแน่นดังออกจากปากน้องใหม่ทุกคนแน่ละ ก็ในเมื่อทุกคน มีรุ่นพี่ ยืนกระจายกันควบคุมอยู่ทั้งแถวอย่างนั้น จะมีใครกล้าแตกแถวนอกจากแมน…
แมนเพียงคนเดียว ที่ไม่ตะโกนคำว่า “ สู้ “ ออกมาเขายืนน้ำตาไหลอยู่หน้าแถว อยากให้วันนี้ จบลงโดยเร็วที่สุดคิดถึงแม่ใจจะขาด….แม่จ๋า
“ ไอ้อ้วน ออกไปขายโรตีหน้าแถวเดี๋ยวนี้ ขายโรตีน่ะ ทำเป็นมั๊ย”เขาเคยเล่นมาบ้านเหมือนกันจากการไปออกค่ายฤดูร้อนกับโรงเรียนและหลายครั้งกับการสมัครออกค่ายกับสถานีวิทยุบางแห่ง ที่จัดเป็นประจำการขายโรตีแบบนี้ มันดูน่าขำดีหรอก ถ้าเล่นกันเพื่อเป็นการสนุกไม่ใช่เพื่อเป็นการลงโทษประจานกันแบบนี้
“ โร….ตี……ส่ายไข่……โร …ตี…ส่าย .นม “ เสียงทุกคนช่วยกันร้อง โดยมีเขาเป็นคนเต้นอยู่คนเดียว
“ โร…ตี…ส่ายทั้งไข่….ส่ายทั้งนม “ เขาพยายามส่าย แต่เอวหนาๆของเขา ไม่เป็นใจเอาซะเลย
“อ้าว ไอ้อ้วน ทำไมไม่ส่าย” รุ่นพี่ตะคอก
“ ผมส่ายแล้ว” แมนเถียงทั้งน้ำตา
“ส่ายอะไร….ไหนๆ…มีใครเห็นไอ้อ้วนส่ายมั่ง”เงียบ !! ไม่มีใครตอบ
“งั้น…มาเต้นไก่ย่างกัน “
“ ไก่ย่างถูกเผา….ไก่ย่างถูกเผาเสียบก้นซ้าย …อ่ะ…เสียบก้นขวาร้อน…จริงๆ……ร้อน..จริงๆ..ร้อนจริงๆ “
“ไอ้อ้วน ทำไมไม่เต้นไก่ย่าง ห๊า !! แต่แล้ว ก่อนที่รุ่นพี่คนนั้น จะได้พูดอะไรต่อไปเสียงกริ่งบอกเวลาพักเที่ยง ก็ดังขึ้นมา
“ เอาละ ทุกคน ไปรับข้าวห่อที่หน้าเต๊นท์ แล้วกลับมาเจอกันที่นี่ เวลาบ่ายโมงเป๊ะ”
“ ไอ้อ้วน บ่ายโมงกลับมา มึงต้องเต้นไก่ย่างต่อ เป็นการแก้ตัว”
“ ถ้าเต้นไม่ได้ มึงตายแน่ เต้นเป็นมั๊ย ” รุ่นพี่ตะคอก
“ ผมเต้นไม่เป็นครับ”แมนพูดอ่อยๆ หวังความเมตตาเต็มที่แต่ดูเหมือนว่า รุ่นพี่คนนั้น เมามันเสียแล้ว กับการได้กลั่นแกล้งให้เขา เจ็บช้ำน้ำใจ
“ ถ้าเรื่องแค่นี้ ยังทำไม่ได้ “รุ่นพี่คนนั้น ยังคงคำรามต่อไป หลังจากที่ได้พล่ามจนน้ำลายแตกเป็นฟองฟ่อด จับเป็นกลุ่มขาวที่มุมปาก
“ มึงก็ไปตายซะเหอะ”……….……….………
แมน ไม่ทานข้าวเขาตัดสินใจอาศัยช่วงพักเที่ยง นั่งรถไฟฟ้าไปสถานีขนส่งแล้วซื้อตั๋วกลับบ้านทันทีพอกันที เขาจะไม่ยอมกลับไปร่วมพิธีการบ้าๆอย่างนั้นอีกแล้วถ้าไม่ได้เรียนที่นั่น ก็ชั่งหัวมันแต่เขาต้องตายแน่ๆ หากต้องไปยืนทำท่าอุบาทว์ๆแบบนั้น ให้ทุกคนหัวเราะเยาะทุกคน ที่เขาไม่รู้จักมาก่อน ทุกคนที่ไม่รักเขา ทุกคนที่ไม่มีใครเข้าอกเข้าใจเขาทุกคนที่ไม่มีใครเลย ที่จะเห็นใจ สงสารเขา…………..………..………….
.แมนนอนน้ำตาไหลเงียบๆอยู่คนเดียว นานแล้วเขาไม่เคยเสียใจอย่างนี้มาก่อนเลยแม่และพี่สาว ที่เคยเข้าอกเข้าใจเขา กลับกลายเป็นใครที่เขาไม่รู้จักทันทีที่แม่และพี่สาวเห็นเขากลับมาบ้าน ในชุดกางเกงยีนส์และเสื้อยืดของมหาวิทยาลัยทั้งสอง ทำหน้าราวกับเห็นผี
“ แมน !!……นี่แมนมาได้ยังไงกัน “
“วันนี้ มหาวิทยาลัย เค้าเปิดแล้วไม่ใช่หรือ “หลังจากที่เขาเล่าทุกอย่างให้แม่และพี่สาวฟัง.แทนที่เขาจะได้รับการเห็นอกเห็นใจและความเข้าอกเข้าใจอย่างที่หวังมันกลับกลายเป็นว่า ทั้งสอง โกรธเขา ที่ไม่อดทน
“ นี่มันอนาคตของแกนะ แมน “
“ แกจะหนีเรื่องแค่นี้ โดยยอมโยนอนาคตทิ้งไปอย่างนั้นหรือ”
“อะไรกัน เรื่องแค่นี้ ใครๆเขาก็ต้องเจอกันทุกคน ทำไมแกคนเดียว ที่ทนไม่ได้”…..….….
ไม่มีใครเข้าใจเขาเลยจริงๆไม่มีใครเลยจริงๆเขากดโทรศัพท์มือถือไปถึงเพื่อนๆในกลุ่มทุกคนสิทธิ์ หนูหิ่น และหมูก้อย คงอยู่ในพิธีรับน้องของมหาวิทยาลัย จึงไม่รับสายฟ้าใส ไม่เปิดเครื่อง เขาโทรฯไปที่บ้าน รับทราบว่า ฟ้าใส ไปออสเตรเลีย เพื่อติดต่อมหาวิทยาลัย
ปอนด์ รับโทรศัพท์ แต่แนะนำให้เขากลับไปที่มหาวิทยาลัย
“ ถ้าแกทนแค่นี่ไม่ไหว แกก็ไม่ควรอยู่เป็นคนแล้วละ ไอ้แมน”ปอนด์พูดแรงๆ ตามนิสัย โดยไม่นึกเลยว่าเขากำลังต้องการคนปลอบใจไม่ใช่คนที่จะผลักหลังให้เขากลับไปสู่ความเจ็บปวดนั้นอีกแมน ปิดเครื่องโทรศัพท์ ล้มตัวลงนอนน้ำตาแห่งความคับแค้นใจหลั่งไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองราวกับความชอกช้ำได้บดขยี้ดวงใจของเขาจนกลายเป็นของเหลว แล้วหลั่งออกมาทางนัยน์ตาโลกเล็กๆใบนี้ ที่เคยอบอุ่น ที่เคยปลอดภัยบัดนี้ ไม่มีอีกแล้ว………..
แมนปีนขึ้นไปบนเก้าอี้เชือกที่ผูกเอาไว้กับขื่อประตู บัดนี้ ถูกขดปลายอีกข้างให้เป็ห่วงเงื่อนตายมีขนาดใหญ่พอ ที่จะสอดหัวเข้าไปได้แมนเอาหัวสอดเข้าไป กระชับเชือกให้คล้องไปรอบคอเลื่อนเงื่อนปมให้หมุนไปอยู่ด้านหลังเชือกมีความยาวเพียงเล็กน้อยไม่พอแน่ที่จะทำให้เขายืนถึงพื้น น้ำตาไหลอาบแก้มเขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว
เขาเอนตัวไปข้างหน้า แล้วถีบเก้าอี้ ให้ล้มไปด้านหลังแรงดึงดูดของโลกทำให้น้ำหนักตัวเกือบ 80 กิโลกรัม ของเขาตกลงเป็นแนวดิ่งสู่พื้นแต่ก่อนที่เท้าของเขาจะสัมผัสพื้นเชือกที่คล้องคอ ก็หมดระยะความยาวเชือกเส้นนั้น ทำหน้าที่หยุดการตกของเขาในทันทีแรงเฉื่อยของน้ำหนักตัวที่ตกลงมากระชากให้กระดูกก้านคอ หลุดออกจากกันในทันทีหลอดลมฉีกขาดกล่องเสียงแตกไขสันหลังที่ฝังตัวอยู่ในกระดูกสันหลังฉีกขาดออกจากกันพร้อมๆกับเส้นประสาทเส้นเลือดในสมองหลายเส้น ระเบิดออกเพราะความดันที่ทวีขึ้นในฉับพลันแมนรู้สึกเจ็บรอบคอบริเวณเชือกรัดอยู่ในเสี้ยววินาทีต่อมา
เขารู้สึกถึงการฉีกขาดและแตกหักลมหายใจถูกกระแทกออกจากอกและไม่สามารถสูดเข้าได้อีกความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีกลายเป็นความรู้สึกเย็นซ่า กระจายไปทั่วร่างเจาไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไปร่างของเขา กระตุกอีกเล็กน้อย ด้วยการทำงานที่หลงเหลืออยู่ของประสาทและกล้ามเนื้อในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาร่างกายของแมนก็สงบนิ่งลิ้นถูกแรงกดของเชือก ดันออกมาจุกปากตาถูกแรงดันของของเหลวภายในดันจนถลนออกมานอกเบ้าเส้นเลือดที่แตก ปล่อยให้เลือดบางส่วนไหลออกมาทางหู และจมูกทวารหนักและเบา เปิดออกเพราะไม่มีการควบคุมอุจจาระและปัสสาวะ ไหลผ่านขากางเกง หยดเรี่ยราดลงสู่พื้น ส่งกลิ่นตามธรรมชาติของมัน
ลาก่อน แม่
ลาก่อน พี่สาว
ลาก่อน เพื่อนๆ
ลาก่อน รุ่นพี่ใจร้าย และมหาวิทยาลัยที่เขาไม่มีโอกาสได้สัมผัส
ลาก่อน ไก่ย่างลา….ก่อน……………
ไก่ย่างถูกเผา….ไก่ย่างถูกเผาเสียบก้นซ้าย …อ่ะ…เสียบก้นขวาเสียบก้นซ้าย …เอ้า…เสียบก้นขวาร้อน…จริงๆ……ร้อนจริงๆ……ร้อนจริงๆ……………………….

Thursday, January 26, 2006

อันเนื่องมาจาก Koratech และ Dream Theatre


ผ่านไปแล้วครับเมื่อวันที่ 25 มกราคม กับงานคอนเสิร์ตของสุดยอดวง Progressive Metal ระดับโลกที่ยกพลกันมาครบทีมเพื่อมาโชว์ความสามารถอันสะเด็ดสะเด่าของพวกเขาที่อาจทำให้เหล่านักดนตรีทั้งหลายในไทยต้องกลับไปนั่งรำพึงกับตัวเองว่า "ข้าพเจ้าฝึกมาน้อยไป ต้องกลับไปฝึกวิชามาใหม่อีก 10 ปี"
งานคอนเสิร์ตครั้งนี้ผู้จัดหรือโต้โผในการจัดงานครั้งนี้คืออาจารย์ปราชญ์ ที่นักดนตรีรู้จักกันดีนั่นเอง บัตรราคาก็ไม่แพงครับถูกสุด 600 แพงสุด 3000 มั้งถ้าจำไม่ผิด บางคนอาจจะบอกว่าแพง หรือว่าวงอาไรหว่าไม่เห็นรู้จักเลยมันจะดีกว่า พี่Rain ตี๋หล่อเกาหลีกินเหล้าเกาเหลียงนอนเกาหลังกินเกาเหลาได้ยังไงฟะ แต่สำหรับผมแล้วผมคิดว่า นี่คือคอนเสิร์ตที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบหลายๆปีที่ผ่านมาเลยนะครับ ด้วยฝีมือของพวกเขาซึ่งอาจจะทำให้คุณตะลึงอ้าปากค้างคิดว่า มันเล่นของมันได้ไงวะเนี่ยก็คุ้มแล้วนะครับ ใครที่ชอบดนตรีแล้วไม่ได้ไปดู น่าเสียดายครับและผมก็ต้องเสียดายแทนคุณด้วยเช่นกัน แต่ไม่ต้องมาอิจฉาผมหรอกนะครับ ทำไมน่ะหรือ ?
ผมเองก็ไม่ได้ดูไอ้วงบ้านี่เช่นกัน!!!

เรื่องของเรื่องมันก็มีอยู่ว่าเมื่อก่อนสิ้นปีไอ้เพื่อนแทนของผมไปได้งานแปลสัญญาของKoratech มาก็แบ่งกันคนละครึ่งได้คนละ 4500 บาท ซึ่งมันจะทำให้ผมมีเงินไปซื้อตั๋วได้ ตอนแรกเราก็คิดว่ากันว่าหมูมากแค่คนละ 15 หน้าเท่านั้น แต่ที่ไหนได้ แม่งๆโครตยากเลยในสัญญามันมีแต่คำศัพท์ทางวิศวกรรมโยธา อย่างไอ้คำว่า commissioning มันแปลว่า กระบวนการทดลองเดินเครื่องจักรก่อนการตรวจรับงานที่จ้างตามสัญญา เอากะมันสิคำนี้ผมใช้เวลาตั้งหลายวันกว่าจะไปหาเจอในดิกได้
จริงๆแล้วมันก็มีอีกเยอะครับที่เห็นศัพท์มันแล้วอยากจะกระโดดน้ำตายหรือตบกบาลตัวเองให้หายโง่เสียที เช่น civil work ครับเป็นไงอ่านแล้วน่าจะเข้าใจไม่ยากนะครับ แต่กว่าจะหาคำไทยที่เหมาะๆได้ก็แทบแย่ ตอนผมเจอคำนี้ผมก็จนปัญญาเลยถามเพื่อนผม (ไอ้แทนนั่นแหละ)ว่ามันคืออะไรมันดันตอบมาอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับยักคิ้วว่า civil แปลว่า แพ่ง work แปลว่า งาน ดังนั้นมันก็คืองานแพ่ง ขอบคุณนะมึง ผมเองก็เกือบๆจะแปลลงไปว่างานแพ่งแล้ว แต่เผอิญไปเปิดดิกทางวิศวะเข้าซึ่งมันแปลว่า งานโยธา ดีนะเนี่ยที่เจอไม่งั้นคนรู้เรื่องอ่านคงขำเราแย่
แต่ในที่สุดงานก็เสร็จจนได้แทนก็รับช่วงต่อจากผม ซึ่งมันก็ประสบปัญหาอย่างเดียวกับผมเช่นกันแต่ด้วยความสามารถทางภาษาปะกิดที่มากกว่าผมมันก็ทำเสร็จแล้วก็ส่งไปครับแล้วก็รอเงินกัน
รอ................
รอ................
รอ................
รอ................
ก็ยังไม่ได้ค่าแปลครับจนใกล้จะมีคอนเสิร์ตแล้วมันก็ยังไม่ได้โอนเงินมาสุดท้ายได้ความว่าต้องแก้งานเล็กน้อย เราก็เลยต้องแก้แล้วส่งไปอีก แทนส่งงานไปเมื่อวันจันทร์จนบัดนี้วันที่กะลังเขียนอยู่นี่เงินก็ยังไร้วี่แววที่จะได้ ผมเลยอดดูคอนเสิร์ตวงนี้เลย
บัดซบๆๆๆๆๆๆๆ ฮืออออออออ
กูจะฆ่ามึง!!!!!!!!

Wednesday, January 18, 2006

มอบให้สาวญี่ปุ่นสุดน่าร้าก





มีความสุขจัง...กิ๊วกิ้ว