Friday, September 7, 2007

ผมรักภาษาไทยว่ะ

หายไปนานมากเลยนะครับคราวนี้ไม่ได้อัปกะเขาซะทีเลย อ่านแต่ของชาวบ้านอย่างเดียว แถมไม่แสดงความเห็นใดๆอีกต่างหาก แต่ช่างแม่งเหอะวันนี้มานั่งเขียนอยู่นี่ก็ดีแล้วนี่นะ
ช่วงที่ผ่านมาผมเจอกับมรสุมชีวิตหนักเข้ามาหลยๆลูกอยู่เหมือนกันส่วนมากจะเป็นเรื่องงานน่ะที่หนักหน่อย เรื่องเงินก็รองลงมาตามธรรมเนียม แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่มากขึ้นเริ่มคลี่คลายมากขึ้น
ก็ดีแล้วล่ะครับผมจะได้สบายใจซะที

มาเข้าเรื่องดีกว่าตอนนี้ผมมาทำงานอยู่ที่บริษัทอินเต๊อร์ อินเตอร์อยู่ที่นึง ที่นี่งานการทุกอย่างเป็นภาษาปะกิดหมดครับ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเมล ใบลากิจ ลาป่วย เขียนบึนทึก ทำเอกสารต่างๆ แต่ว่ามันมีข้อสงสัยของผมก็คือว่า
บริษัทที่ผมอยู่ไม่เห็นมีฝรั่งหัวทองหรือชาวต่างชาติแม่งมานั่งอยู่ซักกะคนเดียว ไอ้เรื่องการทำงานแล้วส่งออกไปข้างนอกให้ต่างชาติมันก็น่าจะเข้าใจว่าต้องทำเป็นอังกฤษ แต่ไอ้ที่ไม่เข้าใจก็คือว่า ทำไมไอ้การติดต่อกันภายในของผมทำไมมันต้องเป็นภาษาอังกฤษวะ เคยถามแล้วได้รับคำตอบว่า เพื่อฟามเป็นอินเตอร์

ผมว่ามันตลกดีนะเวลาที่เราพูดกันเรื่องงานเราใช้ภาษาไทย แต่พอเราต้องมาเขียนอะไรซักอย่างให้คนในบริษัทเราต้องใช้อีกภาษานึง (แบบเมื่อกี๊ยังไทยอยู่เลย)เท่านั้นยังไม่พอดี๋ยวนี้ชื่อเรียกของหน่วยราชการหลายๆที่ถูกเรียกเป็นภาษาปะกิดหมดแล้วเวลาคุยกัน เช่น

เอ่อ...เดี๋ยวไอจะไปที่เอ็มโอซีหน่อยนะ ไปเอาอะฟิดาวิท แล้วก็อาร์ทิเคิ้ลออฟแอสโซหน่อย อ้อผมฝากยูหน่อยนะ เรื่องของทีเอ็มของไคลเอิ้นเราน่ะเตรียมพวก แอบให้เรียบร้อยด้วยนะ อย่าลืมนะว่าเราต้องไปไฟล์แคนเซิ้ลเลเชิ้นนะ

หรือแบบนี้...ยูไปเอ็มโอเอฟให้พี่หน่อยสิไอ้พีโอเออันนี้เราต้องไปทำโนตาไร๊ซ์กะลีเกิลไลซ์นะ คีพอินเยอะมายด์นะ เสร็จแล้วไปเก็ทคอปปี้ของโนดที่ แลนด์ออฟฟิศด้วยล่ะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็อินฟอร์มด้วยนะ แล้วกลับมาเขียนรีพอร์ตให้ด้วย

ถุยๆๆ ขากถุย ถุย 500 ที

ผมคิดว่าหลายๆองค์กรธุรกิจมันก็น่าจะเป็นอยู่ในอีหรอบนี้แหละไม่ต่างกันมาก เคยคุยกะเพื่อนบอกเดี๋ยวนี้บางที่คุยกันเป็นภาษาไทยไมค่อยได้แล้ว ต้องโอภาปราศรัยเป็นภาษาต่างประเทศ ทั้งๆที่ไอ้คนพูดมันก็เป็นคนไทย เรียนเมืองไทย จบเมืองไทย บ้านอยู่เมืองไทย โคตรพ่อโครแม่มันก็เป็นคนไทย ต่อให้จบนอกด้วยวะ บางคนบอกไปเรียนเมืองนอกมาแล้วลิ้นแข็ง พู่กไทยมะค่องชัก ซึ่งผมว่าไอ้เรื่องแบบนี้นาะมันเป็นเรื่องของความเออ...ดัดจริตกันมากกว่า เนื่องจากผมมีเพื่อนอยู่คนนึงชื่อตูน เป็นสาวเกือบสวยน่ารัก ไปอยู่ที่เดนมาร์คตั้งกะ ม.สาม ตั้งสิบหกสิบเจ็ดปีแล้วตอนนี้มันมาทำงานอยู่ที่สถานฑูต ตูนยังสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจนมาก ดาได้อีกด้วย แถมมันพูดภาษาดนมาร์คกะอังกฤษได้อย่างน้ำไหลไฟดับ ตรงกันข้ามกะเพื่อนผมอีกคน คนนี้เรียนที่ BAS ของธรรมศาสตร์ ตอนเรียนันธยมก็เรียนที่เมืองไทย บ้านอยู่เมืองไทย ไม่เคยไปเรียนนอกแต่ไหงพอมาเรียนที่เป็นหลักสูตรอินเอร์แล้วกลับพูดภาษไทยไม่ค่อยได้ อ่านภาษาไทยไม่ค่อยเข้าใจ ลืมไปแล้วย่ะ ต้องพูดภาษาอังกฤาตลอดเวลาก็ไม่รู้ ขนาดมันพูดใส่ผมแล้วผผมเล้งกลับไปด้วยภาษาไทยมันก็พูดปะกิดเหมือนเดิม อ้างว่าภาษาไทยออกเสียงยาก เอากะมันดิ

ที่พูดมาไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ชอบภาษาปะกิดหรือไม่ยอมพูดนะ ผมก็รักภาษาอังกฤษเหมือนกันและก็คิดว่ามันจำเป็นต้องใช้ และผมเองก็คิดว่าทักษะด้านนี้ของผมก็น่าจะพอใช้ได้อยู่นา แต่เวลาผมใช้ภาษาอังกฤษผมจะใช้กับคนต่างชาติเท่านั้น กับคนไทยผมไม่ค่อยอยากใช้เท่าไรหรอกยิ่งไอ้ไทยคำอังกฤษคำเนี่ยไม่ค่อยหลุดจากปากผมหรอก

เรามาสร้างวัฒนธรรมการใช้ภาษากันดีกว่าไหมครับ ชาตืไทย มีภาษาเป็นของตัวเองนะครับ มีมานานมากแล้วด้วย ภาษาของเราเป็นภาษาที่งดงามมากนะครับ โคลง ฉันท์ กาพย์กลอนของเราไพเราะแล้วก็สวยมากๆด้วย ระดับภาษาเราก็มีหลายระดับ ภาษาไทยเราพูดกันมาตั้งแต่เกิดนะครับมีอะไรไม่น่าภูมิใจเหรอ ทำมโฆษณาบนรถไฟฟ้าหรือแถวสีลม หรือพวกพัทยา เชียงใหม่ไม่ค่อยมีภาษาไทยแล้ว ทำไมคนในที่ทำงานถึงต้องติดต่อกันเป็นภาษาต่างชาติไปแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่ามันเป็นความเท่ที่เราพูดภาษาฝรั่งได้ หรือภาษาบ้านเรามันไม่ดีไม่เข้าใจว่ะ ภาษาอังกฤษมันก็ไม่ได้เลียนเสียงได้เยอะมากเท่าภาเราซหน่อย ภาษาอังกฤษเขียนให้อกเสียงว่าไอ้เบื๊อก เควอะ ด๊วด ต่วย หรือ เจ้าจื่อหยาง หรือแหงบๆ เหวอ บรื๊อ ไม่ได้แน่ๆ แฟนสาวชาวญี่ปุ่นของผมยังงงเลยครับเคยถามผมว่าคนไทยไม่รักษาไทยรึไง เล่นเอาเราตอบไม่ถูกเลย

ยิ่งเดี๋ยวนี้ภาษาอังกฤษมีความสำคัญสูงปรี๊ด เวลาเรียนก็ต้องเรียนโรงเรียนอินเตอร์ มหาวิทยาลัยหลักสูตรอินเตอร์

ยิ่งเวลาสมัครงานด้วยแล้วต้องแสดงภาษอังกฤษด้วย จดหมายเย ปะวัติเอย ใบคะแนนสอบภาษาเอย การสัมภาษณ์เอยเป็นภาษาอังกฤษทั้งน้าน ผมล่ะโคตรเบื่อเลยเวลาไปสัมภาษณ์งานแล้วต้องพูดภาษาอังกฤษกับเหล่าคนไทยด้วยกัน ไม่ใช่พูดไม่ได้นะ แต่จะพูดให้มันมากมายทำไม มึงกะกูก็คนไทยเหมือน กันนี่ ยิ่งบางที่ด้วยล่ะก็ต้องมีการทดสอบด้วยเช่น ให้แปลไทยป็นอังกฤษ แปลอังกฤษเป็นไทย เขียนเรียงความ เขียนจดหมาย เขียนว่าทำมายแกอยากมาทำงานกะชั้นยะ เขียนความมุ่งหวังในชีวิต และอื่นๆอีกมากมาย แถมบางที่เท่าที่รู้มาก็ตอนเข้าไปทำงานก็ไม่ค่อยได้ใช้หรอกไอ้ที่ว่านะ ตัดแปะลอกกันเช็ดทั้งนั้นล่ะว่ะ ตอนหลังบางที่ผมรำคาญมากผมเลยเขียนคำว่า FUCK ลงไปซะจะได้จบเรื่องไป

มีที่ทำงานที่นึงที่ผมเคยทำแล้วผมประทับใจถึงความรักภาษาไทยของเจ้านายเก่าผม คือที่ปูนซิเมนต์ไทย นายเก่าผมเคยบอกผมว่า เอ็งพูดกะเขียนภาษาไทยยังไม่เก่งเลย อย่าพ่งกระแดะไปเล่นภาษาปะกิดสิวะ เอาภาษาเราให้ดีก่อนดีกว่านะ... นี่เป็นไงคนพูดนี่จบคอร์แนลนะครับ แถมภาษาอังกฤษทั้งพูดฟังอ่านเขียนก็เด็ดสุดขั้วเสียด้วยสิ

เลิกเถอะครับเลิกพูดไทยคำอังกฤษคำซะที เลิกพูดภาษาอังกฤษในหมู่คนไทยด้วยกันซะที แล้วสำหรับพวกบริษัทไทยแท้ๆน่ะครับก็ช่วยเลิกทับศัพท์หรือแปลชื่อหน่วยงานจากไทยเป็นอังกฤษกันซะที ถ้าจะให้ดีควรหยุดการเขียนเอกสารต่างๆเป็นภาษาอังกฤษด้วย ถ้าคุณไม่ได้ทำงานให้คนต่างชาติหรือส่งไปให้ลูกค้าต่างชาติละก็นะ ภาษาไทยเรายังมีดีอีกเยอะครับ คนไทยน่าจะทำตามหลายๆชาติในเอเชียเนอะที่ภูมิใจและรักภาษาตัวเองจนขนาดว่าหากคนต่างชาติอยากไปลงทุนหรืทำธุรกิจในบ้านเขาต้องเรียนภาษานั้นก่อน ป้ายโฆษณาหรืออะไรหลายๆอย่างก็เป็นภาษาประจำชาติซะส่วนมาก ไม่ใช่เหมือนคนบ้านเราที่เดี๋ยวนี้คิดว่าภาษาไทยมันไม่ค่อยเท่แล้ว

ผมรักภาษาไทยจริงนะครับแล้วก็ภูมิใจที่เป็นคนไทยด้วย แต่ผมไม่รู้ว่าผมจะได้พูดภาษาไทยล้วนไปได้ตลอดจนถึงเมื่อไร ไม่แน่เนะครับอีก 10 ปีเราอาจจะไม่มีภาษาไทยแล้วก็ได้ถ้าบ้านเรายังเป็นแบบนี้

รักเมืองไทย ชูชาติไทย ทำนุบำรุงให้รุ่งเรื่อง สมเป็นเมืองของไทย

Friday, May 4, 2007

ความสัมพันธ์คืบหน้า

ผมพายูโกะไปนั่งที่ร้านส้มตำข้างถนนพระอาทิตย์ มีพวกขี้เหล้านั่งอยู่สองสามโต๊ะ บริเวณพื้นเต็มไปด้วยนำครำ และยุงที่ชุกชุม แล้วถามเธอว่า
"ยูโกะจะกินอะไรดีครับ"
ยูโกะนั่งคิดอยู่แป๊บนึงแล้วบอกว่าเอาส้มตำไทยไม่เผ็ด ส่วนที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของผม
ผมสั่งคอหมูย่าง ต้มแซ่บเครื่องใน ตับหวาน แล้วข้าวเหนียวสองกระติ๊บมาเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการแก่เธอ
อาหารมื้อนั้นทำให้ผมได้รู้จักเธอมากขึ้นกว่าเก่าพอสมควรเรียกว่าสามารถเก็บข้อมูลไปได้เยอะเชียวหละที่สำคัญผมได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอมาด้วย
วันรุ่งขึ้นผมโทรไปหายูโกะตอนกลางวันถามเธอว่าอยากจะไปเที่ยวพัทยาด้วยกันหรือปล่าว แน่นอนคำตอบที่ผมได้รับคือไม่
แต่คนอย่างผมน่ะหรือจะยอมแพ้กะไอ้เรื่องขี้ผงๆเท่านี้ หลังจากกลับมาจากพัทยาแล้ว ผมก็ยังไปที่ชุมนุมเพาะกายอยู่ทุกวันเพื่อไปดักรอเธอ แต่ไม่รู้ว่าโชคชะตาหรือเธออยากจะหนีผมก็ไม่รู้ผมไม่เจอเธอเลยว่ะ และที่แย่กว่านั้นก็คือยูโกะไม่เคยรับโทรศัพท์ของผม และก็ไม่เคยโทรมาหาผมเลย......

ไม่ได้มาตั้งนาน

ผมไม่ได้เข้ามาเขียนนานประมาณ 4 เดือนได้มั้งตั้งกะแฟนผมกลับญี่ปุ่นไป ความขี้เกียจกับความยุ่งของงานแล้วก็เรื่องชีวิตหลายๆอย่างมันทำให้ไฟในการเขียนหมดลงไปเยอะเลย
ชีวิตที่ผ่านของผมเป็นแบบนี้ครับ
1. ผมมีงานใหม่ทำที่สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ที่นี่ผมต้องกลายเป็นเนติบริกรไปซะแล้ว ตอนนี้ทำงานอะไรมีแต่ธงมาก่อนทั้งน้านเลยว่ะ ยอมรับว่าเบื่อชิบเป๋ง แต่บางทีมันก็อย่างว่าล่ะครับ เงินเลี้ยงชีพ กับอุดมการณ์จะเอาอะไร อย่างแรกมันก็คือเงินแหละเนอะ แล้วถ้าผมมีโอกาสผมก็อยากทำงานตามอุดมการณ์ของผม(หวังว่าเป็นอย่างนั้น)
2. ความสัมพันธ์ของผมกับยูโกะตอนนี้ยังอยู่กันดีนะครับไม่ต้องเป็นห่วงมาก เรายังคุยกันทุกวันเหมือนเดิม และผมก็รักผู้หญิงคนนี้เหมือนเดิม
3. ผมพบว่าผมเก่งภาษาปะกิดขึ้นเล็กน้อยจากคะแนนโทอิกที่ไปสอบมา และก็กินเหล้าได้มากขึ้นกว่าเก่า
4. ผมพบว่าบางทีการช่วยเหลือคนอื่นก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขนัก ไว้จะมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
5. ไอ้บล็อกแบบใหม่นี้แม่งใช้ยากดีว่ะ